3 hrs bike trip in Singora

วันนี้พอมีเวลา จะไปปั่นเที่ยวเมืองเก่าสงขลา  ทั้งบ่อยาง หัวเขาแดงและบ้านแหลมสน (บ้านบ่อเตย)อ่านเพิ่มเติมประวัติเมืองสงขลาเราจะเริ่มกันที่หางพญานาค บ่อยาง ไปหัวเขาแดงและไปบ้านแหลมสน ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตรครับ มีเวลาชิวๆประมาณ 3 ชั่วโมง...ไปกันเลยครับเวลา 9:00 น ที่หาดสมิหลาแดดดีเลยครับแต่ไม่รู้สึกร้อนเพราะมีลมแรง คลื่นก็แรงเหมือนกันครับพายุเพิ่งผ่านไป 2 วัน หาดสะอาดสวยงามไม่มีร่องรอยของความเสียหายให้เห็นครับ งานนี้คงต้องชมเทศบาลสงขลาโดยส่วนตัวผมชอบหาดสมิหลาตอนเช้ามืดมากกว่าครับ ..ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงสวยงามได้หลายแบบขออนุญาตเอาภาพตอนช่วงเช้าของหาดสมิหลามาอวดนะครับใครยังไม่ทานอาหารไม่มีอะไรต้องห่วง ริมหาดสมิหลามีอาหารทั้งอาหารเช้าพื้นเมือง อาหารและเครื่องดื่มทั่วไป การจัดรูปแบบร้านในแบบของคนรุ่นใหม่ มีส่วนทำให้บรรยากาศน่าทานขึ้นเยอะครับเลือกดูได้ตามลิงค์นี่เลยร้านอาหารริมหาด ในช่วงเช้าของวันหยุดร้านอาหารริมหาดจะดูคึกคักเป็นพิเศษครับ ส่วนตัวผมแนะนำข้าวยำ 5 สีต้องบอกว่าน่าทานจริงๆได้เวลาเดินทางต่อครับ  ปั่นมุ่งหน้าไปยังท่าแพ เมื่อเริ่มเข้าสู่แหลมสนอ่อนจะมีBike lane ไปตลอดจนถึงท่าแพครับ...ใช่ครับ เราปั่นข้ามทะเลสาบไม่ได้ไม่มีสะพานบริเวณนี้เราต้องเอาจักรยานลงแพขนานยนต์ครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีมาก เพราะแพขนานยนต์บริการฟรีสำหรับคนและจักรยาน เก็บค่าบริการเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ครับ ความกว้างของทะเลสาบตรงช่วงนี้ประมาณ 650 เมตร แต่ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีครับ การรอคอยแพขนานยนต์ก็ไม่นานครับ ถือเป็นบริการที่สะดวกจริงๆ ขอบคุณ อบจ.สงขลาไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับตอนที่อยู่ในแพขนานยนต์ถ้าเราไม่เพลินอยู่กับทิวทัศน์  แต่ตั้งใจมองไปทางยอดของหัวเขาแดง เราจะสามารถมองเห็นป้อมปืนใหญ่ที่อยู่บนหัวเขาแดงได้อย่างชัดเจน ป้อมนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยสุลต่านสุไลมาน ซึ่งเป็นพระเจ้าเมืองสงขลาคนแรกและแข็งเมืองต่อกรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้ถูกพระนารายณ์มหาราชส่งกองทัพมาปราบและทำลายกำแพงเมืองได้แต่ยังคงเห็นร่องรอยอยู่ในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม  ถ้าเรามีโอกาสขึ้นไปก็จะเห็นเจดีย์องค์ดำองค์ขาวอยู่ถัดขึ้นไปบนยอดเขาแดง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของพี่น้องต้นตระกูลบุนนาค ที่มาช่วยปราบปรามข้าศึกที่เมืองสงขลาอ่านเพิ่มเติม
  ไม่ต้องเสียใจนะครับที่วันนี้เราไม่ได้ขึ้นไปชม ซึ่งก็ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผมเอาบรรยากาศมาฝากให้ดูตามลิงค์นี้เลยครับปีนยอดหัวเขาแดง
ดูวิวทิวทัศน์ดูเพลินก็มาถึงท่าแพฝั่งสิงหนครแล้วนะครับ ลงแพแล้วปั่นเลี้ยวซ้ายไปตามถนนท่าแพซึ่งก็จะผ่านชุมชนประมงมุสลิม เป้าหมายต่อไปของเราก็คือซุ้มประตูบ่อเก๋ง ซึ่งก็คือปราการรักษาด้านหน้าของเมืองสงขลาเก่า ที่ตั้งอยู่ฝั่งแหลมสน ซึ่งซึ่งลักษณะสถาปัตย์ประตูโค้งและมีลักษณะแบบจีน สันนิษฐานว่าแต่เดิมคงมีจีนฮกเกี้ยนอาศัยอยู่บริเวณนี้อ่านเพิ่มเติมได้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่หน้าบ่อเก๋ง และวิวทิวทัศน์เมื่อมองย้อนกลับมาทางเมืองบ่อยาง ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมากและพร้อมปั่นไปจุดหมายต่อไป คือ จวนเจ้าเมืองสงขลาเก่าฝั่งแหลมสน ระหว่างทางที่ปั่นถ้ามองไปทางด้านขวาจะเห็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์อีกชิ้นหนึ่งซึ่งถ้าไม่ตั้งใจดูอาจจะนึกว่าเป็นหลักกิโลหรือป้ายแสดงสถานที่อะไรสักอย่าง แต่พอดูให้ละเอียดก็จะทราบว่าเป็นป้ายหลุมฝังศพของหัวหน้าวิศวกรชาวเดนมาร์กที่มาเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 34 ปีในปีพ.ศ 2452 ซึ่งตรงกับสมัยของรัชกาลที่ 6 ฃึ่งในขณะนั้นสงขลาได้ย้ายไปอยู่ฝั่งบ่อยางแล้วอ่านเพิ่มเติม    ที่แห่งนี้ นับว่าช่วยตอกย้ำว่าสงขลาเป็นเมืองที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม ทั้งตะวันตก มุสลิม จีนและไทยซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดป้ายหลุมศพนี้จึงไม่ได้รับการอนุรักษ์ดูแลแต่ประการใด ห่างออกไปไม่มากนักผมก็ปั่นจักรยานเลี้ยวเลียบทะเลไปจนเจอ จวนเจ้าเมืองสงขลาเก่าฝั่งแหลมสน อ่านเพิ่มเติม ซุ้มประตูและแนวรั้วดูสวยงาม และเสริมกันดีเมื่อถ่ายรูปคู่กับจักรยานแอ๊คชั่นนิดนึงครับ ด้านตรงข้ามของจวนเจ้าเมือง จะเป็นร้านชาและจุด camping ตามสไตล์คนรุ่นใหม่ก็ดูน่าสนใจดี
   ได้ทราบว่าร้านนี้ย้ายมาจากร้านเดิม คือร้านสวนชาใบขลู่  เพิ่งเคยได้ยินชื่อวันนี้ก็เลยอยากจะไปดูสวนชาใบขลู่ ขอแวะออกนอกเส้นทางนิดหน่อยนะครับ ห่างออกมาไม่มากก็เจอป้ายบอกทางทำความรู้จักกับใบขลู่ ซึ่งจริงๆก็เคยเห็นบ่อยเป็นเหมือนวัชพืชข้างทางไม่ทราบว่าสามารถนำมาทำชาได้มีสรรพคุณเป็นยาได้ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลองเพราะร้านเขาปิดอยู่ กลับมาเปิดเสิร์ช google ดูรู้สึกว่าตัวเองเชยไปเลยครับมีชาใบขลู่ขายใน lazada shopee เต็มไปหมดใครสนใจ อ่านลิงค์เพิ่มเติมได้ครับชาใบขลู่       ออกนอกลู่นอกทางไปพอสมควรผมปั่นกลับออกมา  มุ่งหน้าไปยังพระเอกของเราในวันนี้...วัดสุวรรณคีรี วัดเก่าแก่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเป็นที่ที่พระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาปราบกบฏเจ้านครได้มาประทับที่นี่ เป็นวัดที่อยู่บนที่เนินสามารถมองเห็นทะเลสาบสงขลาได้ชัดเจนบริเวณวัดร่มรื่น มีสิ่งที่น่าชมอยู่ 3 อย่างคือหอระฆัง หินงอก และต้นหว้าอายุกว่า 250 ปี ซึ่งแน่นอนผมไม่พลาดเอาภาพมาฝากให้ชมครับ
ห่างออกไปอีกประมาณไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็ยังมีวัดโบราณในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นอีก 3 วัดอยู่ในบริเวณเดียวกันคือ
วัดบ่อทรัพย์ ซึ่งมีบ่อน้ำใหญ่อยู่หน้าวัดโดยเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำที่ช่วยรักษาโรคต่างๆได้อ่านเพิ่มเติม

 วัดภูผาเบิก เป็นวัดที่มีรูปร่างแปลกตาสวยงาม อยู่บนเนินสูงอ่านเพิ่มเติมและวัดที่ 3 คือวัดคือวัดศิริวรรณาวาส ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ระหว่างวัดทั้งสองข้างต้นและอยู่บนแนวเขาต่อกัน ขณะนี้มีสภาพเป็นวัดร้าง และต้องขอยอมรับความจริงว่าผมไม่ได้เข้าไปเลยถึงแม้ว่าจะเป็นกลางวันแสกๆแต่ในเมื่อมาคนเดียวก็ต้องขอบายก่อนได้แต่ปั่นจักรยานผ่านหน้าวัดและแอบมองเข้าไปด้านในก็เห็นแต่ร่องรอยรซากปรักหักพังของวัด
...ออกจากวัดภูผาเบิก ปั่นไปทางชุมชนมุสลิมบ้านหัวเข่าก็เจอกับ
ฮวงซุ้ยของตระกูล ณ.สงขลา ซึ่งเน้นย้ำความเป็นจีนที่สืบเชื้อสายมาจากหลวงสุวรรณคีรี(เหยี่ยง แซ่เฮา)ตรงกันข้ามกับฮวงซุ้ยก็จะเป็นหมู่บ้านชาวประมงมุสลิม ช่างเป็นการประจันหน้ากันของวัฒนธรรมแท้ๆ บอกกับใครใครได้เลยว่าที่สงขลา ไทย จีน มุสลิมและตะวันตก เราอยู่ร่วมกันได้ และเราจะอยู่ร่วมกันได้ต่อไป ก่อนปั่นเลยออกจากบ้านหัวเขาก็จะเจอกับฮวงซุ้ยจีนที่มีรั้วติดกับกุโบร์ของมุชาวมุสลิมให้เห็นเป็นประจักษ์อีกครั้ง ออกมาทางเขาเขียวก็จะต้องผ่านสิ่งก่อสร้างในอดีตอีกแห่งนั่นก็คือศาลาหลบเสือซึ่งสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 โดยได้รับการบูรณะทำให้อยู่ในสภาพที่ดีและสวยงาม อ่านเพิ่มเติม   เวลา 3 ชั่วโมงในวันนี้ดูช่างหมดไปเร็วจริงๆ ทำให้มีโอกาสได้เห็นความเป็นมาของสงขลาได้ชัดเจนมากขึ้น แต่แน่นอนยังมีสถานที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวเนื่องและอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของสงขลาอีกมากที่ยังไม่ได้มีโอกาสเห็น ทริปนี้จึงเป็นเพียงปฐมบทขอการรู้จัก รักและเข้าใจสงขลา ...ได้เวลาพักเหนื่อยผมเลือกใช้บริการของ daily coffee ในปั๊มเชลล์เชิงสะพานติณสูลานนท์บ้านหัวเขา ซึ่งมันทำให้ทริปนี้จบด้วย happy ending มากขึ้นไปอีก...ไว้เจอกันใหม่ครับ

Comments