ล้างตา ลังกาวี.. Langkawi bike trip.2022

พวกเราเป็นทีมปั่นจักรยานซึ่งเป็นเพื่อนมัธยมมาด้วยกัน   เมื่อ 4 ปีที่แล้วเราเคยปั่นไปลังกาวี แต่ก็ยังสำรวจลังกาวีไม่ทั่วถึง เนื่องด้วยข้อจำกัดของเรื่องเวลา    ทริปนี้ถือเป็นการล้างตาจึงให้เวลา 3 วัน 2 คืนสำหรับการสำรวจลังกาวี....ที่สำคัญทริปนี้เราจัดให้มีการเดินทางของผู้ติดตามซึ่งไม่ได้ปั่นจักรยานเป็นคู่ขนานไปด้วย
   เมื่อการเตรียมการในเรื่องพาสปอร์ตเอกสารวัคซีนและการ register ใน app Mysejahtera จนได้แท็ก fully vaccinated แล้ว พวกเราก็พร้อมสำหรับการเดินทาง
ยังมีอยู่เรื่องเดียวที่อาจจะเป็นอุปสรรคของtrip  คือการที่ weather forecast พยากรณ์ว่าวันที่เราจะมาเดินทาง เป็นช่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองบางช่วงถึงขั้น Thunder storm....ซึ่งเราก็คงจะทำอะไรไม่ได้มาก  และทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว...The show must go on
    เราเริ่มเดินทางในวันแรกโดยเอารถจักรยานใส่ในรถปิคอัพออกเดินทางจากสงขลาตั้งแต่เวลา 4.30 น
เพื่อจะไปจอดรถที่เทศบาลสำนักขามซึ่งเราก็ได้เจอกับฟ้าขมุกขมัวและฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เริ่มเข้าเขตสะเดา  แต่ฝนหยุดเราไม่ได้ ...เสื้อฝนที่เตรียมไว้ถูกนำมาใช้ เราผ่านตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้อย่างสะดวกเพราะยังเป็นช่วงเช้าคนเดินทางไม่มาก หลังจากนั้นเราก็ปั่นไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซีย ซึ่งมีการแยกช่องให้บริการแต่ก็ไม่มีช่องสำหรับจักรยานเราได้รับคำแนะนำให้เข้าไปในช่องเดียวกับรถมอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ด่านมาเลเซียก็ตรวจพาสปอร์ตและให้โชว์ app Mysejahtera เฉพาะคนแรกๆของกลุ่มหลังจากนั้นก็ดูแต่พาสปอร์ต เราไม่ได้เสียเวลาที่ด่านมากนะ แต่เวลาเราก็หายไป 1 ชั่วโมงเพราะออกจากด่านเวลาไทยประมาณ 7:15 น.ก็ถูกปรับเป็นเวลามาเลเซีย 8:15 น. จากด่าน Bukit kyuitam เราจะต้องไปถึงท่าเรือferry ที่เมืองKuala Perlis ก่อน 11:00 น.ตามเวลามาเลเซีย ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 
ยังมีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที กับระยะทาง 47 กิโลเมตรรอเราอยู่  เหมือนฝนจะเป็นใจพอเราไปถึงทางแยกก่อนเข้าตัวเมืองchanglun เพื่อจะมุ่งไปเมือง
Arau และต่อไป Kuala perlis ท้องฟ้าก็แจ่มใสขึ้นฝนก็หยุดตกสองข้างทางที่เราปั่น ผ่านชนบทภาคเหนือของมาเลเซีย เต็มไปด้วยพื้นที่นาข้าวเขียวสุดลูกหูลูกตา ทำให้เราพวกเราสดชื่นได้มาก แดดรำไรก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเราไม่เหนื่อยกันมากนัก
     ตั๋วเรือ ferry (จองได้จากทาง email enquiry@langkawiauto.com นี้เลย จองทางmailจะสะดวกและถูกกว่าการซื้อที่ท่าเรือครับ)กำหนดให้เราไปเช็คอินก่อนเวลาเรือออก 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่เราคิดว่าสำหรับจักรยานการลงเรือferryคงไม่มีอะไรลำบากมากนัก แค่เราปั่นให้ถึงทันเวลาเรือออกก็น่าจะได้ เพื่อไม่ประมาทเราก็ได้ฝากตั๋วของกลุ่มจักรยาน ให้กลุ่มผู้ติดตามซึ่งถึงแม้จะออกจากด่านมาทีหลังแต่เดินทางโดยรถตู้และจะถึงท่าเรือ ประมาณใกล้ๆ10.00 น. เป็นผู้เช็คอินแทนทีมจักรยาน   ถ้าเราปั่นด้วยอัตราเฉลี่ย 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็สามารถไปลงเรือได้ตามกำหนด ดูก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับทีมจักรยานของเรา  แต่ก็ยังมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นจนได้ ทีมปั่นจักรยานไล่ๆกันเป็น 3 กลุ่มกลุ่มที่ 1 และ 2
ไปถึงท่าเรือประมาณ 10 นาฬิกานิดๆ   พร้อมกับการได้รับแจ้งทาง LINE ว่าจักรยานในกลุ่มที่ 3 ยางแบนต้องทำการเปลี่ยนยาง ที่จุดประมาณ 9 กิโลเมตรห่างจากท่าเรือ และกำลังเร่งรีบดำเนินการกันอยู่ สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นก็คือคิดเตรียมการถ้าเผื่อว่าจักรยานในกลุ่ม 3 มาไม่ทันก็คงต้องมีการให้บางคนรออยู่และตามไปทีหลังกับเรือเฟอร์รี่เที่ยวถัดไป แต่คิดแล้วก็ก็คงจะสับสนวุ่นวายกันน่าดู โชคเรายังดีทีมที่ 3 มาถึงได้ 5 นาทีก่อนเรือจะออก ก็นับเป็นเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรกของทริปนี้ 555   เป็นอันว่าทีมนักปั่นและผู้ติดตามก็ได้ลงเรือพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง  เราวางแผนสำหรับมื้อเที่ยงในเรือโดยได้เตรียมอาหารboxset สำหรับแต่ละคน นับว่าเราคิดถูก  บนเรือเฟอร์รี่ขายแต่เครื่องดื่มแต่ไม่มีอาหารขาย
  Ferryเที่ยวนี้ ผู้โดยสารหนาแน่นรถก็เยอะ ในห้องโดยสารมีแอร์มีโทรทัศน์ให้ดูแต่บรรยากาศออกจะทึมๆนิดหน่อย พวกเราหลายคนสะดวกใจไปกินอาหารกันบนดาดฟ้าชั้น 2 ชั้น 3 ชมวิวไปเพลินๆแต่ก็มีฝนปรอยๆบางช่วงประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง boxset ก็ถูกกำจัดเรียบร้อยและเราก็มาถึงท่าเรือ Langawi RoRo ferry services (Tunjung lembang) ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Kuah ประมาณ 12 กิโลเมตร(เรือferryที่บรรทุกยานพาหนะมาด้วยไม่สามารถเข้าจอดที่ท่าเรือเมืองKuahได้)  เนื่องจากferryเที่ยวนี้ผู้โดยสารและรถเยอะมากเราต้องเสียเวลาในการลงจากเฟอร์รี่ประมาณครึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะรถจักรยานต้องขึ้นจากferryเป็นกลุ่มสุดท้าย
  ที่ท่าเรือมีรถมารับสำหรับผู้ติดตามแต่สำหรับทีมปั่นยังต้องมี 12 กิโลเมตรที่เป็นเนินอีกหลายลูกที่ประทับใจที่สุดก็คือเนินที่ขึ้นไปสู่ Langkawi highways ก่อนจะถึงโรงแรม Greenish hotel Langawi 
    โรงแรมที่เราจะพักเป็นเวลา 2 คืนในลังกาวี เป็นโรงแรมเก่าระดับกลางๆมีห้องพักค่อนข้างเยอะ มีบริการที่สะดวกที่สำคัญคืออยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Kuah เราได้รับความสะดวกจากทีมผู้ติดตามซึ่งทำการเช็คอินให้เรียบร้อยแล้วเมื่อทีมจักรยานไปถึงเราก็สามารถอาบน้ำเปลี่ยนชุดและพร้อมสำหรับ half day tour Langkawi  
    ในทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 30 คนเราจึงใช้รถบัสในการเดินทาง เป็นการเดินทางรอบเกาะลังกาวี ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงสถานที่เที่ยวที่เราแวะก็มีดังนี้ครับ
 -Toko Batik Langkawi เป็นเหมือนร้านขายผ้าบาติกของที่ระลึกและสินค้าประเภทที่ทำมาจากสมุนไพร ยาดมยาทาเคล็ด ของลังกาวีครับที่เห็นเขานิยมซื้อกันก็เป็นพวกน้ำมันเหลืองส่วนผ้าคิดว่าไม่น่าจะถูกเท่าไหร่
-Kota Mahsuri เหมือนเป็นหลุมฝังศพของนางมัสสุรี ตามเรื่องเล่าหาดทรายดำของลังกาวี ซึ่guideได้เล่าเรื่องพวกนี้ระหว่างอยู่บนรถ พวกเราไม่ได้ลงตรงจุดนี้ครับ
-Ayer Hangat Friday night market จุดนี้พวกเราแวะกันนานหน่อยครับ หลายคนชอบเป็นเหมือนตลาดนัดขายของ โดยเฉพาะ street food มีมากมายหลายอย่างราคาไม่แพงและที่สำคัญน่ากินเกือบทั้งนั้นแน่นอนครับสายกินหลายคนก็เลยได้ลองไปหลายอย่าง บางคนก็หิ้วอาหารจากที่นี่ไปเป็นเสบียงสำหรับคืนนี้ที่โรงแรมครับ ซึ่งตลาดนี้จะมีเฉพาะวันศุกร์เท่านั้นนะครับ
-Langkawi Fair shopping mall อันนี้ก็จะเหมือนห้างของลังกาวีซึ่งจุดที่พวกเราอยากแวะก็คือการได้ช้อปปิ้งของที่เป็นสินค้าปลอดภาษีก็มีหลายอย่างครับทั้ง wine chocolateและสินค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีหลายอย่างน่าสนใจครับ
 แล้วhalf day tour Langkawiก็สิ้นสุดลงประมาณเกือบ สองทุ่ม ครับ พร้อมกับสัมภาระสินค้าปลอดภาษีที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับแต่ละคนซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นช็อกโกแลตนั่นแหละครับ  กลับถึงโรงแรมก็ตามอัธยาศัยครับใครสนใจลงมานั่งเม้าท์มอยกันริมสระน้ำก็ชวนกันมา
ใครจะพักผ่อนเตรียมตัวสำหรับทริป วันรุ่งขึ้นก็ตามสะดวกเลยครับ
  วันที่ 2 ของทริปลังกาวี เราแบ่งเป็น 2 สายครับทีมจักรยานขอ early breakfast ได้ตอน 6.30 น.แล้วปั่นไปรอบเกาะมุ่งสู่ทางเหนือระยะทางช่วงแรกประมาณ 39 กิโลเมตร เพื่อไปที่ cable car และจอยกับทีมผู้ติดตามที่ทำตัวสบายๆกับอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วค่อยออกเดินทางไปcable car ตอน 9 โมงเช้า  ทีมปั่นของเราได้พบกับบรรยากาศยามเช้าสองข้างทางพระอาทิตย์ขึ้นสีสันสดใส ดีใจมากจริงๆครับเราไม่เจอฝนเลยโชคดีที่ weather forecast ทำนายผิด เอาภาพระหว่างทางทริปปั่นมาแปะไว้แล้วครับ สถานที่ที่แนะนำแวะชมคือ
  -Wat koh wanaram วัดไทย
  -Raja muniswara temple วัดฮินดู
-Galeria Perdana เป็นที่แสดง สะสมของขวัญของฝากของท่าน
มหาเธร์ ตอนเราไปเขาปิดชั่วคราวอยู่เลยไม่ได้เข้าไปชมครับ
  -Kilim Geoforest Park ท่าเรือล่องเรือชมป่าชายเลน
  -Medan Niaga Black Sand Beach หาดทรายดำ
 -

  นัดนี้ทีมจักรยานแพ้แบบเฉียดฉิวครับ พวกเราโดนทีมผู้ติดตามโทรตามประมาณ 4 กิโลเมตรก่อนจะถึงเคเบิ้ลคาร์ครับ เราให้ทางทัวร์เป็นผู้จัดการจองตั๋วเคเบิ้ลคาร์ให้เพราะเขาจองได้ถูกกว่าเมื่อเทียบกับในเว็บ เราซื้อแบบ combo set  regular lane อาศัยมาช่วงเช้าคนไม่เยอะแถวก็ไม่ติดมากครับ ตั๋วเรามีที่ใช้ได้กับ cable car sky bridge 3 D Interactive   ที่จริงมันยังใช้ได้กับSkyRex และSkyDome ซึ่ง 2 อย่างหลังรู้สึกว่าจะไม่เวิร์คและปิดไปแล้ว แต่เชื่อเถอะครับเวลา 4 ชั่วโมงถ้าเราใช้กับ 3 อย่างแรกก็เกือบไม่ค่อยพอแล้วครับ 555
ก็ต้องแบ่งเวลาให้ดีๆนะครับเพราะแต่ละที่ก็น่าชิวสวยงาม โดยเฉพาะช่วงที่เรามาแดดไม่ร้อนลมแรงสดชื่นครับ พวกเราทานเที่ยงกันที่ร้านอาหารด้านล่างของเคเบิ้ลคาร์ครับซึ่งก็มีให้เลือกค่อนข้างเยอะเดินดูใจเย็นๆนะครับค่อยๆเลือกมีทั้งร้านเบอร์เกอร์ ร้านข้าว ร้านเครื่องดื่มราคาก็ไม่แพงสะดวกอยู่ครับ
      ทีมจักรยานต้องรีบออกก่อนเพราะเราต้องปั่นกลับโรงแรมซึ่งจะต้องถึงประมาณสัก 15:30 น เพื่อที่ได้ไปล่องเรือยอร์ช ตอนบ่าย 4 โมง ซึ่งมีระยะทางเหลือประมาณ 29 กิโลเมตร แต่เส้นทางก็มีส่วนที่เป็นเนินเป็นเขาอยู่พอสมควรครับ ครึ่งชั่วโมงแรกเราทำได้ดีครับตามโพสต์ที่ google บันทึกไว้
แล้วเวลาอีก   1 ชั่วโมงครึ่งสำหรับ 20 กิโลเมตร  แต่ match นี้ทีมจักรยานแพ้หลุดลุ่ยครับเพราะหลังจากนั้นก็เกิดปัญหาทางเทคนิคมีจักรยานเสียต้องซ่อมระหว่างทางทำให้พวกเราก็หลุดกัน เกิดอาการรอกันไปรอกันมา 15.45 แล้ว ยังไม่ถึงโรงแรมทีมผู้ติดตามต้องโทรมาตามแต่โชคดีทางทัวร์จัดรถมารับพวกเราแล้วฝากจักรยานไว้ที่ร้านริมทางเพื่อจะให้เราได้ไปทันลงเรือยอร์ชที่จัดไว้ สุดท้ายกว่าจะได้ลงเรือก็ประมาณ 5 โมงครับซึ่งเรือยอร์ชได้ไปรออยู่กลางทะเลแล้วเราต้องนั่งเรือ เพื่อตามไปขึ้นเรือ
ยอร์ชครับ คิดว่าที่ทันก็ดีมากแล้ว
เมื่อเราไปขึ้นเรือยอร์ชรู้สึกแปลกๆครับ สมาชิกในเรือเป็นหนุ่มสาวครับแต่งตัวพร้อมเล่นน้ำกันเกือบทุกคน ก็จะมีทีมเรานี่แหละครับที่จะดูเรียบร้อยที่สุด ช่วงแรกรู้สึกจะตึงๆเคอะๆเขินๆที่นั่งก็ดูไม่ค่อยจะพอเพราะไม่กล้านั่งในส่วนที่เป็นส่วนอาบแดด แต่เนื่องจากชาวต่างชาติซึ่งเป็นทั้งคนจีนคนมาเลย์ ทุกคนต่างมาสนุกสนานกันมีการ
จอยกันร้องเพลงคาราโอเกะ บรรยากาศก็ให้วนๆกันสำหรับแต่ละชาติ ก็เริ่มจะครึกครื้นขึ้นมาช่วงนั้นก็มีบางคนกระโดดลงไปเล่นน้ำ ดูสนุกสนานอยู่ มีเครื่องดื่มบริการให้ซึ่งก็มีเครื่องดื่มให้ครบครันทั้งแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์ บริการไม่อั้นแบบ free flow bar สำหรับ cruise dinner ทางลูกเรือยังเตรียมการอยู่แจ้งว่าจะเริ่มบริการอาหารตอน 18.00 น.ครับ บรรยากาศแห่งความสนุกสนานมันก็ค่อยๆบิ้วไปเรื่อยๆครับสุดท้ายทุกคนก็ได้ละลายพฤติกรรมกันอย่างสนุกสนานทั้งร้องเพลงทั้งเต้น อาหารที่เสริมในวันนั้นก็เป็นอาหารทั่วๆไปครับ ....บรรยากาศที่สนุกสนานเป็นสิ่งที่ทุกคนประทับใจครับ
  ตามกำหนดการเราต้องล่องเรือไปขึ้นที่หาด Pantai cenang ซึ่งป็นหาดชื่อดังของเกาะลังกาวี แต่เรือไม่ได้พาไปเข้าจอดที่ท่าเดิม ทางทัวร์จึงจัดรถตู้พาเราไปส่งที่หาดครับบรรยากาศของเมืองพัทยาเล็กๆ คนเดินช็อปปิ้งกันทั่วๆ ส่วนที่หาดก็มีการจัดกิจกรรมโชว์การแกว่งคบเพลิงไฟในจังหวะที่เราไปพอดี
   เรามีเวลาเดินเล่นประมาณชั่วโมงครึ่งครับหลายคนก็ได้มีโอกาสไปช้อปปิ้ง เห็นบอกว่าราคาช็อกโกแลตที่ super ที่หาดนี้ยังถูกกว่าที่เราซื้อที่Kuahครับ 
    ได้เวลาพักผ่อนสำหรับทีมผู้ติดตามครับ  แต่ทีมปั่นจักรยานรถตู้จะนำไปดรอปในจุดที่จอดจักรยานทิ้งไว้เพื่อจะได้ปั่นกลับไปโรงแรมครับ แหะๆประมาณ 12 กิโลเมตรที่เหลือครับ ถึงโรงแรมก็ห้าทุ่มพอดีแต่บรรยากาศระหว่างทางดีครับบางช่วงมืดเล็กน้อยแต่พอขึ้นไฮเวย์ก็สว่างลมดีดาวสวย
รถไม่เยอะครับ  สรุปการเดินทางของเราในวันนี้ตามรูปข้างล่างนะครับ
   ทริปนี้ เราได้ล้างตาลังกาวีแล้วจริงๆครับ.... ยังแถมมีปั่นตอนกลางคืน 22:00 - 23:00 น ด้วยครับ 555
   วันที่ 3 เป็นวันเดินทางกลับครับวันนี้เรามีภารกิจต้องไปทักทายและอำลาเจ้าอินทรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของลังกาวีก่อนขึ้นเฟอร์รี่เดินทางกลับ
ระหว่างทางปั่นก็แอบแวะชมเข้าไปที่ Langkawi tower ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังไม่ได้เปิดใช้แต่พวกเราก็ขอถือโอกาสเข้าไปเช็คอินก่อนครับ
  แวะซื้อซื้ออาหารเที่ยง มาจากตลาดในเมืองKuah เพื่อเอาไปทานกันที่ท่าเรือเพราะขากลับferryเราออกตอนบ่ายโมงครับ เราพอมีเวลาสบายๆไม่ต้องรีบแถมขากลับเข้าไทยเรายังได้กำไรเวลาอีก 1 ชั่วโมง... เอาคืนๆ 55   เรายังมีโอกาสได้แวะเที่ยวอีก 1 ที่ครับคือที่ Perlis street art   ขากลับเราจะกลับทางปาดังเบซาร์ครับเพื่อจะได้แวะผ่านไปชมเมือง Perlis  ทีมจักรยานเราอยากปั่นเป็นวงครับไม่ชอบซ้ำรอยเดิม ระยะทางก็พอๆกันครับ แต่ขากลับนี้เราจะมีสัมภาระหนักขึ้นกว่าเดิมคนละเล็กคนละน้อยส่วนใหญ่ก็เป็นช็อกโกแลตนั่นแหละครับ เส้นทางปั่นก็เป็นตามรูปเลยครับ
   เราปั่นในช่วงที่มีแดดและโชคดีถนนที่ผ่านมักจะมีต้นไม้สูงๆเกือบจะตลอดทางจึงทำให้ไม่สู้จะร้อนเท่าไหร่ แต่ทางที่เป็นเนินสูงๆก็ยังคงเป็นอุปสรรคอยู่ครับ 55 หลายคนเริ่มเหนื่อยซึ่งอาจจะเกิดจากความล้าหรือสัมภาระที่อยู่บนหลังแต่พวกเราก็ทำเวลาได้ตามกำหนดอยู่ครับ เราแวะพักกันที่ Perlis Street art บางคนก็ถ่ายรูปกับภาพวาดบางคนก็ไปนั่งร้านกาแฟ ถ้าไม่นับเรื่องร้อนก็ดูว่าโอเคอยู่นะครับ
     เราปั่นมาถึงตรวจคนเข้าเมืองมาเลย์และก็ผ่านมาโดยไม่มีอุปสรรคอะไรครับ มีเพียงต้องปั่นรอๆกันบ้าง  แต่สำหรับทีมผู้ติดตามที่มากับรถตู้ รถคันหนึ่งเสียระหว่างทาง เป็นเหตุให้เกิดความโกลาหลเนื่องจากสื่อสารภาษากันไม่ได้คือคนขับรถไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ก็เลยออกอาการเมื่อยมือแต่เท่าที่ฟังดูก็ไม่มีใครเครียดครับมีแต่คนสนุกสนานกับการ miscommunicate   แบบนี้ถึงเรียกว่าหาความสุขเป็นใช่ไหมครับ อิอิ
ตอนออกที่ด่านไทยจะมีปัญหาเล็กน้อยครับคือเรายังต้องลงใน app 
และต้องโชว์หลักฐานการฉีดวัคซีนครับ ถึงตอนนั้นเราก็หิวกันเต็มที่แล้วล่ะครับ ทริปนี้ก็จบลงด้วยการทานอาหารเย็นร่วมกันที่ร้านไม้โมกในตัวอำเภอสะเดาครับ
       ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมสนุกกันเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ




Comments