นั่งรถไฟข้ามชายแดน USA - CANADA

     ตั้งใจจะนั่งเฟอร์รี่ จาก Seattle  USA ข้ามไป Victoria BC Canada แต่พอดีช่วงที่มา 22- 28 กพ.เป็นช่วง dry dock เรือเฟอรรี่หยุดให้บริการ เพื่อตรวจเช็คสภาพเรือ ประจำปี........จึงเปลี่ยนใจเดินทางจาก Seattleไปเข้าแคนาดาที่ Vancouver  โดยขบวนรถไฟAmtrak ก็เป็นการเดินทางที่ดีทริปหนึ่งที่อยากมาเล่าสู่กันฟัง
       จองรถไฟไว้เป็นเที่ยวเช้า7.45 AM จาก Seattle ซึ่งใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเดินทาง ราคาตั๋ว 45 USD เพราะกะจะได้ดูวิวข้างทางที่เพิ่งเห็นจากภาพโปรโมชั่นแล้วดูสวยมาก. แต่ตอนออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมงครึ่งเพื่อจะมาที่สถานี King Street อันนี้ละหนักหน่อยเพราะพอออกจากโรงแรมก็พบกับอุณหภูมิ-2 C กับร่องรอยหิมะตกไว้ตอนกลางคืน นั่งbusมาที่สถานี Amtrak ตรง King Street station ซึ่งหาไม่ยากนัก...เพราะแอบวิ่งมาสำรวจไว้แล้วเมื่อเย็นวาน

    สภาพภายในสถานีก็สะอาดสะอ้าน เจ้าหน้าที่ที่บริการก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี  เมื่อเข้าไปเช็คอินเจ้าหน้าที่ก็ให้บัตรสีชมพูมา 1 ใบและย้ำว่าต้องเอาบัตรให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วด้วย ตอนนั้นยังไม่แน่ใจจะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวจะมาเฉลยทีหลังนะ  แต่ตอนนี้ที่สำคัญคือยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลยระหว่างนั่งรถไฟ 4 ชั่วโมงน่าจะมีอะไรไปทานดีกว่า ถามเจ้าหน้าที่ว่าระหว่างรอ บอร์ดดิ้ง มีร้านอาหารในสถานีไหม เขา แนะนำว่าบนรถไฟมี ทั้ง food and beverage ไว้บริการอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่ารอขึ้นไปซื้อบนรถไฟดีกว่า ได้เวลาบอร์ดดิ้งก็ทำเหมือนกับบอร์ดดิ้งเครื่องบิน ให้ผู้สูงอายุผู้พิการก่อน หลังจากนั้นก็ให้ผู้ที่มาเป็นกลุ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก่อน และผู้ที่มาคนเดียวทีหลังสุด  ....อันนี้ก็เข้าใจได้  เพราะว่าบัตรโดยสารไม่มีที่นั่ง เจตนาก็คงต้องการให้คนที่มากันเป็นกลุ่มได้นั่งรวมกันก่อนแล้วคนที่มาคนเดียวก็ค่อยไปนั่งในที่ที่ว่างอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงนะถึงมาคนเดียว ขึ้นไปแล้วที่นั่งก็ยังว่างอยู่เยอะเลย... ว่างเกือบครึ่งหนึ่งของตู้ ช่องใส่กระเป๋าก็กว้างใส่กระเป๋าใบใหญ่เข้าไปได้เลย แต่ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่กว่านี้ก็สามารถตั้งไว้ได้ตรงที่วางกระเป๋ารวมซึ่งอยู่ใกล้กับห้องน้ำในตู้รถไฟ สภาพภายในรถไฟกว้างขวางสะอาด ขึ้นไปนั่งได้สัก 15 นาทีรถไฟก็ออกตรงเวลาเป๊ะ 7.45 AM. 
        
    พอรถไฟเลยออกมาจากสถานี เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็จะเดินมาตรวจตั๋วคุยทักทายกับผู้โดยสาร หยอกล้อกันสนุกสนานดูเป็นกันเอง อันนี้เป็นความประทับใจข้อแรกดูเขาทำงานอย่างมีความสุข...ซึ่งแน่นอนผมก็ไม่ลืมที่จะยื่นบัตรสีชมพูให้เขาด้วยตอนที่เช็คตั๋ว  ทำให้เห็นว่าคนที่มีบัตรสีชมพูน่าจะเป็นคนต่างชาติซะส่วนใหญ่ เขาเก็บบัตรไปก็คงไปจดเลขที่นั่งของเราเอาไว้ เพื่อไปใช้ประโยชน์ตอนเอาแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองมาให้กรอกจะได้แจกได้ตรงคน  เพราะคนที่นั่งรถไฟเที่ยวนี้บางคนก็ไม่ได้ข้ามแดนไปแคนาดา
     รถไฟออกมาได้ประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกหิวแล้วแต่ก็ยังนั่งรอเผื่อจะมีคนเอาอาหารมาขายตามที่ผมเข้าใจจากที่เจ้าหน้าที่ข้างล่างบอก ...แต่ก็ไม่มีบริการอย่างนั้น
เห็นแต่มีคนต้องเดินไปตู้อื่นและเดินกลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่ม ก็เลยคิดว่าคงจะต้องไปสำรวจตู้เสบียงบ้าง...เขาจัดตู้เสบียงในลักษณะเป็น cafe

มีส่วนที่จะorder อาหารและคนบริการก็จะอยู่ด้านหลัง counter bar  ที่นั่งให้รับประทานอาหารก็จัดไว้หรือจะเอากลับไปทานที่ที่นั่งของตัวเองก็ได้  รายการ อาหาร ก็จะเป็นfast food ของฝรั่งทำนอง 
แซนวิส แฮมเบอร์เกอร์ snack ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ก็มีเกือบหมดแต่ไม่มีนม  ซึ่งผมตั้งใจจะกินเป็นอย่างยิ่งในมื้อนี้ ทำให้การกินอาหารบนรถไฟเช้าวันนั้นจึงยังรู้สึกขาดๆอยู่ ราคาอาหารก็ไม่แรงดูเหมือนจะพอๆกับ อาหารตอนอยู่ในเมืองครับ...กินอาหารไปก็ต้องมองวิวไปสิครับ ใครชอบวิวทะเลสาบ ก็ให้เลือกนั่งด้านซ้ายนะครับ ถ้าชอบวิวบ้านเรือนภูเขา ก็ให้นั่งด้านขวา
รถไฟจะวิ่งเรียบไหล่เขา และทะเลสาบ ช่วงนั้นเป็นปลายฤดูหนาวยิ่งเข้าใกล้แคนาดาไปเท่าไรก็จะเห็นหิมะหนาขึ้นเรื่อยๆครับ

 ไม่มีบริการเก็บขยะนะครับ ถ้าไม่อยากนั่งกับขยะก็เดินไปทิ้งที่ถังขยะในตู้เสบียง หรือ ไม่ก็นั่งกันไปจนถึงปลายทางแล้วเอาขยะไปทิ้งกันเอาเองซึ่งทุกคนก็ร่วมมืออย่างดี ทุกที่นั่งที่มีคนลง ก็จะสะอาดเหมือนสภาพเดิม    
     รถไฟสายนี้เป็นระบบรางเดี่ยวต้องรอหลีกกันนะครับ ซึ่งเที่ยวที่ผมไปมีประกาศให้ทราบว่าขบวนข้างหน้ามีปัญหาทำให้ต้องรอและเสียเวลา โดยจะมีแจ้งให้ทราบเวลาที่ล่าช้าและขอโทษทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเวลา...สำหรับผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการล่าช้า 45 นาทีเท่าไรเพราะเพลิดเพลินกับวิวสองข้างทาง แต่ก็ไม่ทราบคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพราะหลังจากประกาศในแต่ละครั้ง ผู้โดยสารก็ไม่ได้แสดงปฎิกิริยาอะไรให้ได้เห็น  พอรถไฟผ่านสถานี Bellingham ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายที่อยู่ในเขตอเมริกา เจ้าหน้าที่ก็เอาแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองมาให้กรอกและประกาศบอกเลยว่าไม่ต้องกังวลถ้าไม่มีปากกาเดี๋ยวจะเอามาให้ แต่ผมเตรียมปากกาไว้แล้วเลยไม่ต้องใช้บริการนี้...น่ารักดีคนที่ไม่เอาปากกามาจะได้รับช่อดอกไม้ใหญ่ๆพร้อมกับปากกาเพื่อมากรอกแบบ ฟอร์ม กรอกเสร็จแล้วจะคืนปากกาก็ให้โชว์ช่อดอกไม้ขึ้นมาเจ้าหน้าที่ก็จะไปเก็บทั้งช่อดอกไม้และปากกาคืน...นี่เป็นความประทับใจอีกอย่างหนึ่งที่ได้เห็นผู้ให้บริการพยายามทำงานของตัวเองให้ผลงานออกมาดีที่สุด และช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้รับบริการ โดยเรียกรอยยิ้มจากผู้โดยสารได้อีกเมื่อจะเอาปากกาคืนโดยการถามกับ ผู้โดยสารมีคนไหนอยากจะมอบดอกไม้ให้เจ้าหน้าที่บ้างไหม...ชอบครับ
      เมื่อรถไฟมาถึงเมือง brains ซึ่งอยู่ตรงชายแดน อเมริกา - แคนาดา เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่าให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยหลังจากประกาศก็จะล็อคประตูรถไฟ ประตูห้องน้ำ จะเปิดอีกทีเมื่อจะถึงแวนคูเวอร์ ก็คงเป็นการป้องกันการหลบหนีเข้าเมืองนั่นเอง 
          ตรงชายแดนอเมริกากับแคนาดาผมไม่เห็นแนวรั้วอะไรกันเลย เข้าไปถามอาจารย์กู๋ดู ได้ความว่าแนวชายแดนนี้เป็นแนวชายแดนระหว่างประเทศที่ยาวที่สุด และมีการสร้างซุ้มประตูThe peach archไว้ตรงชายแดนระกว่างเมือSurrey bc ของแคนาดากับเมือง Blaine ของอเมริกา ผมนั่งรถไฟผ่านสองเมืองนี้แต่ก็มองไม่เห็นซุ้มประตูครับ...จึงขอขอcopy รูป มาแปะไว้นะครับ

  รถไฟเข้าสู่แวนคูเวอร์ ที่สถานนี Pacific central station ที่
สถานนี นี้รถไฟจะวิ่งเข้าไปในส่วนที่มีแนวรั้วตาข่ายกั้นไว้ ผู้โดยสารต้องลงจากขบวนรถไฟและออกไปได้ทางเดียวคือทางที่ต้องผ่านตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น ซึ่งเราต้องยื่นฟอร์มที่กรอกไว้ พาสปอร์ต และวีซ่า เมื่อผ่านตรวจคนเข้าเมืองเราก็อำลา AMTRAK TRAIN Seattle - Vancouver กับความทรงจำดีๆ กันได้เลยครับ

Comments