คินาบาลู ..ยอดเขาสูงสุดในเอเชียอาคเนย์

     หลังจากปีนเขาช้างเผือก ซึ่งเป็นภาพจำตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย แต่มาได้ปีนเมื่อเกษียณ....ภาพของยอดเขาอีกลูกก็เข้ามาแทนที่....คินาบาลู...เป็นภูเขาในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ที่มารู้จักเอาตอนวัยทำงาน  เป็นภูเขาที่ยอด Low's peak เป็นยอดที่สูงที่สุดในเอเชียอาคเนย์(4095.2 เมตร) แต่ภาพจำจะเป็นยอด South peak (สูง 3921.5 เมตร) ซึ่งเป็นภูเขาหินที่มีลักษณะสวยงามเฉพาะตัว ทำให้มักมีภาพเป็น presenterให้ ภูเขาคินาบาลูทั้งในธนบัตร และ สื่อภาพต่างๆ


      มีเพื่อนที่สนใจปีนเขาตรงกัน 3 คนและเพื่อนอีก 2 คน สนใจไปท่องเที่ยวคินาบาลู ทริปนี้ก็เลยมีกัน 5 คนหนุ่มน้อยกันทุกคน 555  
     .   เราเดินทางโดยใช้บริการของแอร์เอเชีย บินจากหาดใหญ่ไปกัวลาลัมเปอร์ จากกัวลาลัมเปอร์ไปโกตาคินาบาลู ขาไปเราต้องพักที่กัวลาลัมเปอร์ 1 คืน เพราะเที่ยวบินต่อกันไม่ได้ต้องรอวันรุ่งขึ้น เราเลือกไปพักโรงแรม 5 คนที่เซปัง เพราะคิดแล้วคุ้มค่ากว่าการพักในโรงแรมแคปซูลสนามบินมาก การเดินทางก็สะดวกใช้บริการรถบัสสาย T57 ซึ่งให้บริการจากจุดจอดรถสนามบิน Klia2 ทุก 20 นาที  โรงแรมที่เราพักคือโรงแรมPI GRAND HOTEL สะอาดสะอ้านเตียงหนานุ่ม ให้แปดเต็มสิบครับ แต่ต้องเดินไกลจากป้ายรถบัสประจำทางเกือบ 2 กิโลเมตรโดยต้องสะพายเป้ 7 กิโลกรัมไปด้วยนี่แหละปัญหา แต่พวกเราถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องก๋อนปีนเขากันครับ
         นั่งเครื่องจากกัวลาลัมเปอร์นานครับกว่าจะมาถึงคินาบาลู ก็ร่วมๆ 3 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้เตรียมหนังสือไปอ่านบนเครื่อง,load podcast ไปฟัง หรือคุยกับคนที่ถูกคอ รับรองว่านั่งกันเบื่อครับ. ถึงโกตาคินาบาลูช่วงเย็น  ป้ายบอกทางในสนามบิน ไม่ค่อยชัดเจน
หลายคนก็ดูงงๆกัน ไม่มีป้ายบอกรับกระเป๋าหรือ arrival hall ให้ไปตามป้ายทางออกครับ ทุกคนต้องไปผ่านตรวจคนเข้าเมืองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่พวกเรามาจาก KLก็ยังต้องเข้าคิวลงตราพลาสปอร์ตกันครับ นัยว่าเป็นข้อตกลงตั้งแต่เดิมเมื่อครั้งรัฐซาบาห์ขอผนวกรวมกับประเทศมาเลเซีย พวกเรามาถึงที่พักก็ช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว เราพักกันที่
Keen suites at Sutera เป็น condo พร้อมอยู่มีที่ทำครัว เครื่องซักผ้า พร้อมสรรพ  ออกเดินเล่นชิวๆกันไปทางwaterfront เผื่อจะมีที่กินอาหาร 
      
      ร้านอาหารริมน้ำดูไม่เป็นที่สนใจของเราเท่าไร  สุดท้ายก็มาจบที่ เซเว่น ครับที่คินาบาลูมีเซเว่นเยอะอยู่เหมือนกันแต่ไม่เท่าบ้านเรา มื้อเย็นก็เลยกินอาหารstreet food ที่ซื้อมาระหว่างทางเดินกลับ พวกเราอยากเตรียมตัวให้พร้อมนอนแต่หัวค่ำสำหรับทริปพรุ่งนี้
        ทัวร์ปีนเขาคินาบาลู เราซื้อจากเอเจนซี่ของมาเลเซียโดยตรงซึ่งก็มีอยู่หลายเจ้าที่เห็นเด่นๆก็จะมี Amazing Borneo กับ Borneo calling ครับซึ่งราคาก็พอๆกัน แต่ถ้าซื้อกับเอเจนซี่ของต่างชาติก็จะแพงกว่าครับ สำหรับกรุ๊ปเราเลือก Amazing Borneo ราคาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนในกรุ๊ปของเรายิ่งคนมากราคายิ่งถูกลง  และถ้าเราเป็นต่างชาติราคาก็จะแพงกว่าคนมาเลเซียเอง พวกเราซื้อกรุ๊ป 3 คนราคาประมาณ 20,000 บาท/คน โดยถ้าเป็นคนมาเลย์ 3 คนราคาก็จะประมาณคนละ 13,000 บาท/คน บาท ราคานี้เป็นโปรแกรม 2 วัน 1 คืนซึ่งอาจจะทำให้การปรับตัวต่อattitude อาจจะไม่ดีเท่ากับโปรแกรม 3 วัน 2 คืน  
          คืนนั้นผมนอนเร็วแต่ก็นอนไม่ค่อยหลับไม่แน่ใจว่าเกิดจากเสียงดังจากห้องอาหารใกล้ที่พักหรือตื่นเต้นกันแน่  ดูในนาฬิกาคะแนนคุณภาพการนอนได้แค่ 35 นอนได้แค่ 4 ชั่วโมง  พอ 6 โมงเช้าทางagency ก็เอารถตู้มารับเราที่หน้าที่พักและก็ไปเวียนรับคนอื่นๆจนครบก่อนจะมุ่งสู่ Kinabalu Park Headquarters ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองคินาบาลู 92 km และสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1520 เมตร รถตู้ใช้เวลาไต่เขาไปประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง 
               บรรยากาศที่  Headquarters ก็มีนักท่องเที่ยวคึกคักส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนหนุ่มสาว  พวกเราได้ ลงทะเบียน , รับ ID batch, lunch pack โดย agency คอยให้ความสะดวก หลังจากนั้นก็ไปทำความรู้จักกับไกด์ เพื่อนผมต้องการจะเช่าไม้เท้า hiking ก็มีให้บริการอันละ 15 MYR  ส่วนลูกหาบ(porter)ก็มีให้บริการแต่พวกเราตั้งใจจะแบกสัมภาระกันไปเองเลยไม่ต้องใช้บริการนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อมรถตู้ก็นำเราไปยัง Timpohon gate  ซึ่งเป็นจุดcheck pointเริ่มต้นของการปีนเขาคินาบาลู            ที่จุดนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,866 เมตร พวกเราจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจ batchว่าเราได้ผ่านจุดนี้ และเข้าสู่เส้นทาง Timpohon trail เพื่อมุ่งหน้าสู่ Panalaban base camp ซึ่งอยู่ที่ความสูง 3272 เมตรที่พักคืนนี้ของเราคือ Laban Rata resthouse ระยะทาง6 กิโลเมตรที่เราต้องเดินปีนขึ้นไปถึงเบสแคมป์

   ใจที่จดจ่อและมุ่งมั่น ทำให้เราเดินมาถึงshelterที่1(KANDIS)
โดยไม่รู้สึกเหนื่อยนักทั้งๆที่เส้นทางก็สูงชันเอาการอยู่ครับพื้นที่เดินก็เป็นลักษณะทางเดินแคบๆแต่พอจะเดินสวนกันได้ เป็นรากไม้และก้อนหิน บางครั้งก็เป็นทางเดินบันไดไม้ชันๆสภาพป่าเป็นป่าชื้น อุดมสมบูรณ์ มีมอสและเฟิร์นอยู่ทั่วไป ที่สำคัญ อากาศสดชื่นมาก
     เป็นอันว่าเราผ่านระดับความสูงที่ 1981.7 เมตรมาด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะและความสดชื่น  เรามุ่งหน้าต่อไปไปที่ shelter ที่2 (UBAH) ที่ระดับความสูง 2081.4 เริ่มจะรู้สึกเหนื่อยกันบ้างแล้ว บางกรุ๊ปก็มีการหยุดพักแต่พวกเรายังมุ่งหน้าต่อไป และเริ่มรู้สึกว่า shelter ที่3 ไกลออกไปมากไม่เหมือนกับที่เราเดินระหว่าง 1 กับ 2 เพียงแค่ 0.5 กิโลเมตร เริ่มอยากพักเริ่มอยากเข้าห้องน้ำ ไกด์บอกให้เรารู้ว่า shelter 3 (LOWII)ห่างจากshelterที่ 2 ออกมาประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ และเป็นช่วงที่shelterห่างกันมากที่สุด          
อินทผาลัมและน้ำที่เตรียมมาก็เริ่มถูกนำมากินดื่ม ความรู้สึกสดชื่นยังคงอยู่ มีการทักทายกันนักปีนกลุ่มอื่นๆที่แซงเราขึ้นมาหรือเราแซงขึ้นไปเป็นครั้งคราว แลัวเราก็ได้พักที่Lowii ที่มีสิ่งน่าประทับใจคือ กระรอกที่คุ้นชินกับนักปีนมาก มาขออาหารใกล้ๆ และกินอาหารจากมือพวกเรา
     เราเพลิดเพลินกับกระรอกกันอยู่พักใหญ่ จนนักปีนกลุ่มหลังๆเริ่มขึ้นมาถึง เราก็เลยออกปีนกันต่อเพื่อให้พวกเขาได้เพลิดเพลินบ้าง  ระหว่างทางเดินเราก็ได้เห็นกระรอกอีกประปราย เริ่มเห็นต้นไผ่ กล้วยไม้ป่า ดอกไม้ข้างทาง       แต่เจ้าประจำก็ยังเป็น มอส เห็ดและเฟิร์นครับ เพื่อนในกลุ่มเริ่มมีอาการปวดท้ายทอยมึนศีรษะ ก็เลยได้หยุดพักกันบ่อยหน่อย คิดว่าอาจเกิดจาก attitude sickness เพราะปกติแข็งแรงมาก และเป็นคนที่พร้อมสุดๆในทุกadvanture  ให้เพื่อนพักและกิน พาราเซ็ท น้ำเกลือแร่ ยาแก้วิงเวียน นอนยกขาสูง อาการดีขึ้นบ้าง พวกเราสองคนที่เหลือก็เต็มใจกินพาราเซ็ทและยาแก้วิงเวียน เผื่อว่าจะได้ป้องกันปวดหัวและมึนงงได้บ้าง ค่อยๆปีนขึ้นมาได้พักที่ shelter ที่ 4 (MEMPENING)  ที่ระดับความสูง2515เมตรข้างทางเห็นเป็นหุบเขามีดอกไม้คล้ายชบาซ้อนสีแสดดอกใหญ่ดูแล้วสดใสมีชีวิตชีวาอย่างมาก    
    มองลงไปตามหุบเขาเห็นต้นไม้ใบเปลี่ยนสีเป็นสีแดงทั้งต้นอยู่ไกลเสียดายที่ไม่ได้ไปถ่ายใกล้ๆ
   
     ทางอุทยานให้เราเดินได้ในทางที่กำหนดเท่านั้น และทุกกรุ๊ปต้องมีไกด์ที่ได้รับการอบรมนำทาง กำหนดให้ต้องมีไกด์ 1 คน ต่อนักปีนไม่เกิน 5 คน ไกด์ก็จะช่วยให้คำแนะนำและเป็นพี่เลี้ยงในการเดินทางของเรา แอบๆดูไกด์ก็มีอาการเหนื่อยเหมือนกันนะครับ แน่นอนไม่มากเหมือนพวกเรา 55   ไกด์บอกเราว่าจะได้ไปกินอาหารเที่ยงกันที่shelter ที่5(LAYANG-LAYANG)
ที่ความสูง2702 เมตร ซึ่งเราก็ทานอาหารเที่ยงกันที่นั่นจริงๆ แต่เวลาล่าช้าเป็นประมาณบ่ายโมง ทุกคนกินอาการที่ทางทัวร์จัดมาให้ได้หมดเพื่อนที่เป็นattitude sickness อาการดีขึ้นมากแล้ว เราพร้อมที่จะออกเดินทางต่อกันก็เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง เท่ากับว่าช่วงเช้านี้เราได้ปีนขึ้นมาแล้ว 4 กิโลเมตรใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง เหลืออีกเพียง2 กิโลเมตร
   เราต้องถึงที่พักที่base camp ก่อนครัวปิดคือเวลา 6 โมงเย็น ดังนั้นเราจึงมีเวลา4 ชั่วโมงกว่าๆ สำหรับ 2 กิโลเมตรที่เหลือ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นปัญหากับการเดินทางของเรา แต่เมื่อแอบมองไปที่ทางเดินขึ้นที่มองเห็นจากตอนนั่งทานข้าวก็อดจะหวั่นๆไม่ได้เพราะทางที่เห็นนั้นทั้งชันและเป็นหินลอยไม่ได้เป็นสเต็ปให้เดิน ถามไกด์ก็ไดรับคำตอบว่าเดินยากกว่าทางข้างล่างมาก แถมไกด์ยังบอกว่าเมื่อวานนี้มีฝนตกในช่วงเย็นด้วย...งานเข้าแล้ว  เราไม่ได้รอให้อาหารย่อยเลย ลุยขึ้นไปสู่Shelter ที่6 (VILLOSA) 
เป็นไปตามที่ผมหวั่นจริงๆทางชันมากทางเดินเป็นหินลอยไม่ได้มีสเต็ปให้เดินบางครั้งอาจจะมีราวให้จับอยู่บ้าง แต่วิว 2 ข้างทางนั้นเปลี่ยนแปลงไป ได้มาเดินในที่โล่งมากขึ้นสายตาสามารถมองออกไปไกลมากขึ้นบางช่วงได้เห็นมองเห็นยอดเขาไกลๆ      พืชพันธุ์ก็เปลี่ยนแปลงไป ผมได้เห็น หม้อแกงลิงใหญ่ๆสวยๆหลายๆใบ        ดอกไม้ต้นไม้ในเส้นทางช่วงนี้ ที่เป็นดอกต้นชนิดเดียวกับด้านล่างสีหรือรูปทรงก็จะเปลี่ยนแปลง ไปบ้าง เช่นสีอาจจะเข้มขึ้น ใบอาจจะม้วนหรือขอบใบมีหยักเพิ่มขึ้น                        แม้แต่มอส และเฟิร์นก็เปลี่ยนแปลงไป 
    การเดินทางนับว่าโหดมากเราใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มๆสำหรับการเดินครึ่งกิโลเมตร ถ้าคิดตามบัญญัติ
ไตรยางค์นั่นคือเราต้องใช้เวลา 4 ชั่วโมงสำหรับ 2 กิโลเมตรนับว่า 
หวุดหวิดสำหรับกลุ่มของเรา  ในตอนนั้นไม่มีใครห่วงเรื่องกินกันแล้วไม่ได้สนใจว่าครัวจะปิดกี่โมง เราตั้งใจจะขึ้นไปให้ถึงก็เพียงพอ อย่าให้มันมืดและอย่าให้ฝนตก.... แต่ฝนก็ตกจนได้แรกๆ ก็เป็นแบบ shower ผมก็ยังไม่อยากใส่เสื้อฝน แต่บางช่วงก็หนักขึ้น และเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใส่เสื้อฝนกันทุกคน การเดินทางของเราก็ดูจะช้ามากขึ้น แต่ต้องบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศสดชื่น ทิวทัศน์น่าดู เพราะเราได้มาเดินในส่วนที่ไม่ใช่ป่าปิดต้นไม้ 2 ข้างทางไม่แน่นและไม่สูงมาก
      ฝนไม่มีท่าทีจะหยุด เราก็เช่นกันยังปีนขึ้นไปเรื่อยๆไม่หยุด ทุกคนต่างก็เพลียกันมากแต่ก็ยังงชมวิวแวะถ่ายรูปกันได้อยู่ ไม่มีใครบ่นว่ามีอาการอื่น นอกจากเหนื่อยและเมื่อย 5 โมงเย็นแก่ๆ เราก็ถึง 
Panalaban ที่ความสูง 3272 เมตร ก่อนถึงจุดcheck in จะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์และมีป้ายบอกความสูงของจุดนี้     
      เพื่อนอีกคนที่ไม่ได้มีอาการมาก่อนนอกจากเหนื่อยและเมื่อย ตอนถ่ายรูปพูดบอกว่า ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกหน่อยเพราะจะขึ้นได้แค่นี้ ผมนึกว่ากเขาคิดว่าฝนจะตกไม่หยุดแล้วทำให้เราขึ้นsummitไม่ได้  เขากลับบอกว่าสองคนขึ้นไปเลยถึงฝนไม่ตกเขาก็น่าจะขึ้นไม่ไหว....เอ้าผมก็เลยหวั่นๆขึ้นมาอีกคนกลัวจะไม่ไหวเหมือนกัน ส่วนเพื่อนที่เป็น attitude sickness ตอนนี้ดูสดชื่นและพร้อมมาก  
      พวกเรา check in ที่ Laban Rata guesthouse  ได้ห้อง4 เตียง
แต่เรามีเพียง 3 คน ไม่มีคนอื่นพักร่วม ก็ถือว่าเป็นโชคดีได้เป็นส่วนตัวและมีพื้นที่วางของ เสื้อฝนและรองเท้าที่เปียกนิดหน่อย...ห้องพักฟูกหนาสะอาดสะอ้านหน้านอน...จนผมแอบคิดในใจว่า วันนี้แหละกินเสร็จแล้วคงหลับสบายแน่เพราะเมื่อวานไม่ได้นอนวันนี้ก็เหนื่อยเต็มที่  อากาศตอนนั้นค่อนข้างหนาวประมาณ 14 องศาเซลเซียสห้องน้ำของที่พักก็เป็นห้องน้ำรวมไม่มีน้ำอุ่นตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าไม่อาบน้ำแน่นอนขอเช็ดตัวก็พอ สิ่งที่เราต้องทำอีกอย่างคือต้องรีบชาร์จอุปกรณ์โทรศัพท์ ซึ่งในห้องจะไม่มีปลั๊กให้ชาร์จต้องเอาลงมาชาร์จที่รีเซฟชั่นทุกคนจะชาร์จกี่อุปกรณ์ก็ได้แต่จะชาร์จได้คนละชั่วโมงเท่านั้น เราลงมาทานอาหารพร้อมกับเอาโทรศัพท์และ power bank มาชาร์จ  บริเวณห้องทานอาหารมีคนพลุกพล่านมากโต๊ะทานอาหารมีคนนั่งเกือบเต็มทุกที่
      เราต้องรีบนอนเพราะต้องตื่นไปปีนขึ้นsummit  ฝนยังตกไม่มีทีท่าจะหยุด ไกด์บอกว่าถ้าฝนไม่หยุดและกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ก็อาจจะไม่ได้ขึ้นsummit ตอนทานข้าวเพื่อนฝรั่งที่นั่งร่วมโต๊ะชี้ให้ดูภาพที่ฝาผนังและปล่อยมุกว่าไม่น่าจะมาปิดไว้ตรงนี้เลยกินข้าวไม่อร่อยเพราะภาพพวกนี้แหละ มองตามไปดูที่ฝาผนังเป็นภาพนักปีนเขาที่ได้รับบาดเจ็บจากการปีนเขาบางคนก็ต้องใส่เปลหามให้เฮลิคอปเตอร์มารับมีทั้งบาดเจ็บที่หน้าที่แขนที่ขา  ไม่น่ามาแปะไว้ตรงฝาผนังตอนกินข้าวจริงๆผมก็เลยบอกกับเพื่อนฝรั่งไปว่า คนติดคงคิดว่าดีกว่าไปติดที่ห้องอาหารที่ Headquarter ซึ่งอาจจะทำให้คนเปลี่ยนใจกลับไปโดยไม่ยอมขึ้นเขา  ส่วนพวกเราขึ้นมาถึงขึ้นมาถึงเบสแคมป์แล้วก็คงต้องลุยต่อไปถ้าฝนหยุด...     
       เพื่อนผมที่เพิ่งมีอาการกินอาหารไม่ได้เลย เหนื่อยจนกินไม่ลง โดยพยายามเน้นว่าไม่ใช่อาหารไม่ถูกปากแต่คือกินไม่ลง พอเสร็จจากมื้ออาหาร ก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าไม่ขึ้นsummitแล้วขอพักก่อน  ส่วนผมกินได้จนหมดและเติมอีกค่อนจาน 
           ยังไม่ถึงสองทุ่มดีพวกเราก็พร้อมสำหรับการนอน ฝนก็ยังตกแต่เหมือนจะซาลงสักเล็กน้อย
เพื่อนทั้สองคนดูเหมือนหัวถึงหมอนก็เหมือนจะหลับเลย  อย่างน้อยหนึ่งคนเพราะผมได้ยินเสียงกรนอย่างชัดเจน ผมเองพยามนอนให้อยู่เกือบชั่วโมงก็ยังไม่หลับ จึงตัดสินใจลุกมาเดินสำรวจที่พัก วันนี้น่าจะมีแขกทุกห้อง เขาพยายามแยกห้องให้เป็นห้องรวมชาย ห้องรวมหญิงอยู่คนละโซนกันเพื่อจะได้ใช้ห้องน้ำแยก มีบางห้องเป็นห้องรวมทั้งชายและหญิง และก็มีห้อง private room ด้วยเช่นกัน เดินอ่าน quotes เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การทำสิ่งที่ยากๆ แรงบันดาลใจและมิตรภาพที่ติดไว้ตามผนังทางเดินของที่พัก พอเริ่มง่วงก็กลับเข้าไปนอน    มารู้สึกตัวอีกครั้งประมาณตีสอง ฝนยังตกเป็น rain shower ไม่แน่ใจว่าจะได้ขึ้น summitหรือเปล่า
รีบลุกออกมาดูนอกห้อง หลายคนเตรียมตัวกันพร้อมทั้ง headlight ทั้งเสื้อหนาวหมวกกันหนาวและrain coat บรรยากาศคึกคักพอสมควร ลงมาดูด้านล่างยังไม่เห็นไกด์ของกลุ่มเราแต่เห็นมีไกด์ของกลุ่มอื่นมายืนอยู่หน้าที่พัก....แน่ใจว่าเขาคงจะขึ้นไปsummitกัน  ผมเลยรีบกลับเข้าห้องและเตรียมตัวเอง และออกจากห้องมาตอน 02.30 น. โดยให้เพื่อนที่ไม่ขึ้นเขานอนพัก ก็จะเป็นข้อดีของเราที่ไม่ต้องเอาของมีค่าไปฝากโรงแรม.
       การปีนขึ้น summit นั้นมีด้วยกัน 2 ทาง คือ RANAU TRAIL ระยะทางเดิน1.270 กิโลเมตร เป็นเส้นทางมาตราฐานสำหรับนักปีนเขาทั่วไปมีทางที่ทำเป็นบันไดซึ่งชันประมาณ 70-80 องศา ทางเดินที่ต้องจับเชือกไต่ และ KOTA BELUD TRAILระยะทาง 1.100 กิโลเมตรเป้นเส้นทางสำหรับการปีนเขาซึ่งต้องใช้เครื่องมือและเทคนิคโดยเฉพาะของนักปีนเขาถึงแม้เป็นทางที่สั้นกว่าแต่ก็ยากกว่าเหมาะสำหรับนักปีนเขาใช้ฝึกหัดเพราะทำให้มีความปลอดภัยมีระบบsafty ที่ดี เรียกว่าเป็นFerrata ซึ่งที่คินาบาลู นับเป็นFerrataที่สร้างขึ้นที่แรกและสูงที่สุดในโลก จึงเป็นที่นิยมของนักปีนเขาตัวจริง  แต่เปิดให้ขึ้นแค่วันละ 30 คนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองเส้นทางจะเดินทางออกจากPanalaban (3272m) ไปยัง Sayat-sayat Check Point (3,668m). และจากนั้นก็จะเดินทางต่อผ่านภูเขาหินเกรนิตเอียงลาดขึ้นสู่Summit ระยะทางอีกประมาณ 1 กืโลเมตร ... แน่นอนสำหรับพวกผม 2 คนเป็นพวกทั่วไปครับใช้เส้นทาง RANAU TRAIL 
     
      ฝนก็ยังคงตกปรอยๆตอนที่เราเดินออกจากที่พัก  ตั้งแต่เริ่มต้นเราต้องเดินตามทางบันไดแคบๆแค่พอเดินหลีกกันได้และชัน70-80 องศา คิดไปก็คือเหมือนเราปีนเขาแต่มีคนมาทำบันไดไว้ให้ยังไงยังงั้น ทั้งมืดและฝนตก เราเดินตามๆกันไปช่วงแรกทุกคนก็เหมือนจะเต็มที่ไม่ถึง 15 นาทีก็เห็นทุกคนหอบกันหมดเริ่มค่อยๆปีนช้าลง บางช่วงก็เป็นทางหินลอยช่วงสั้นๆ บางช่วงเป็นทางไปบนหินที่เราต้องจับเชือกขึ้นไป ฝนที่ตกซาๆ และความมืดก็ทำให้ลำบากกับการปีนพอสมควรกับความกลัวว่าจะลื่นทำให้ต้องมองพื้นด้านหน้าอย่างระมัดระวัง ขึ้นมาได้สักประมาณเกือบชั่วโมงฝนก็หยุดลงเหมือนจะเห็นใจเรา เมื่อถึงจุดพักและหันไปดูด้านหลัง แสงไฟจากตัวเมืองพื้นล่าง และแสงไฟของนักปีนเขาที่ไต่ตามๆกันมาสวยงาม น่ามอง...ปีนมาถึงจุดนี้อย่าลืมเดี๋ยวหลังกลับไปมองบ้างนะครับ ไม่งั้นจะเสียดาย เอาภาพที่คนอื่นถ่ายไว้มาให้ดูนะครับตอนนั้นใส่เสื้อฝนอยู่หยิบโทรศัพท์ไม่สะดวกไม่ได้ถ่ายไว้แต่ยืนยันว่าของจริงสวยกว่านี้ครับ

          แล้วเราก็มาถึง Sayat-Sayat check point ครับตรงนี้ใครจะเข้าห้องน้ำก็ได้นะครับแต่บอกไว้เลยน้ำเย็นมาก เราต้องเอาbatchให้เจ้าหน้าที่ตรวจอีกครั้งที่จุดนี้  ทางจากSayat-Sayat check point ขึ้นสู่Summit เป็นภูเขาหินเกรนิตเอียงลาดขึ้นไปสู่ Summit ซึ่งก็จะโค้งโอบรอบลานนี้ จากจุดที่เราขึ้นสายตาเราจึงมองได้ยาวไกลไปสุดยอดเขาแต่ละยอด เป้าหมายของเราคือLow's peak ซึ่งจะอยู่ลึกเข้ามากที่สุดระหว่างทางก็จะผ่านยอด South peak  ซึ่งตอนนั้นแสงก็ขมุกขมัวอยู่ก็เลยไม่มีใครไปเช็คอินสักเท่าไหร่เรายังคงปีนต่อไป ต้องระมัดระวังมากเพราะพื้นหินบางช่วงก็จะลื่นจากตะไคร่น้ำแต่ตอนนี้เหมือนฝนจะหยุดให้เราแล้วแสงอาทิตย์ส่องขึ้นมา แต่เป้าหมายเราคือต้องให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ Low's peak 

     จากลานหินลาดเอียงเราต้องต้องไต่ขึ้นยอดเขาหินที่ไม่มีเส้นทางชัดเจนใครถนัดจับแง่หินตรงไหนโหนตัวขึ้นตรงไหนตามแต่สะดวก...สุดท้ายเราก็มาถึงยอด Low's peak หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้วซัก 15 นาที ความสวยงามก็ยังคงอยู่ บริเวณตรงนี้ค่อนข้างแคบมีป้ายที่เป็นจุดเช็คอินที่ต้องผลัดกันไปถ่ายรูป ไว้เป็นความทรงจำ ความภาคภูมิใจ ว่าเราได้มาถึงแล้ว  เราอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็ต้องผลัดเปลี่ยนให้คนที่ตามหลังมาขึ้นไปแทน  ระยะทางSummit. Trail นี้ 2 กิโลเมตรกว่าๆเราใช้เวลาเดินมาจากที่พัก เกือบ 4 ชั่วโมง  ขาลงเราคงจะทำเวลาได้ดีกว่านี้เราต้องถึงที่พักเพื่อทานอาหารเช้าและเช็คเอาท์ก่อน 10 โมงเช้า ก็พอมีเวลาให้เราชื่นชมกับความงามของลานหินกว้างและยอด Summit ต่างๆ จากลานหินนี้ ตอนนี้ท้องฟ้าสดใสเหมือนกับที่เรียกว่าฟ้าหลังฝน ทำให้เราเก็บรูปสวยๆ ระหว่างทางลงกลับมา อยากมีเวลาชื่นชมให้นานๆ...ขอบคุณฝนจริงๆที่หยุดตก
                  ลงมาถึงที่พัก Laban Rata guesthouse  ประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อนที่ไม่ได้ขึ้นไปSummit trailตอนนี้ดูสดชื่นแล้ว โดยที่ยังไม่ยอมอาบน้ำเหมือนเดิม พวกเราก็เลยเอาอย่างไม่อาบน้ำเหมือนกันรีบทานอาหารเช้า เพื่อจะได้เตรียมลงไปที่ Headquarter เราต้องเดินลงไปอีก 6 กิโลตามเส้นทางเดิมที่เกิดขึ้นมา ตอนแรกนัดกับไกด์ไว้ว่าจะลงประมาณ 10:00 น แต่เนื่องจากเราพร้อมเร็วกว่าที่กำหนดไม่ทันจะถึง 10 โมงเราก็เริ่มเดินทางลงสู่Timpohon gate ขาลง ความสดชื่นของอากาศ ความลำบากของเส้นทางก็ยังเหมือนเดิม ความตื่นตาตื่นใจลดลงไปมาก แต่ที่เพิ่มขึ้นก็คือความอ่อนล้า ความอ่อนเพลียและ โดยเฉพาะความรู้สึกกับสัมภาระที่แบกอยู่บนหลัง เราเริ่มอิจฉาคนที่จ้างลูกหาบแล้วเดินเองตัวปลิว  เรามาถึงเชลเตอร์ที่ 5 ก็ประมาณเกือบบ่ายโมง  โดยที่ตามแพลนเราจะไปทานอาหารที่ Headquarter ในเวลาบ่าย 2 โมง เป็นอันว่าไม่ทันแน่ๆ เดินลงเขากันมาด้วยความอ่อนเพลียสุดๆประมาณ 2 กิโลเมตรสุดท้าย ฝนก็ตกลงมาเม็ดใหญ่เป้งๆ รองเท้าซึ่งไม่ได้มีถุงกันน้ำก็เปียกเราพยายามหยุดให้น้อยที่สุดหยุดเฉพาะที่ shelter จริงๆ หรือไม่ก็หยุดตอนที่ฝนหยุดตก ไม่ค่อยมีแรงพอที่จะเอาเท้าหนีโคลนหรือที่น้ำขัง รองเท้าก็เลยเปื้อนไปตามๆกัน ส่วนหนึ่งก็ลงมาด้วยแรงเฉื่อยจริงๆ  มาถึง Timpohon gate    บ่ายสามโมง
กว่าๆ   สำหรับผมกับเพื่อนที่ขึ้นsummit trail ด้วยกันเท่ากับว่าวันนี้เราได้เดินกันมาแล้ว 12 ชั่วโมง   เรามีโอกาสได้พักเพราะต้องรออีกกลุ่มที่มาทีหลัง ซึ่งจะมีรถตู้ของagency มารับพาไปส่งในเมืองพร้อมกัน  ทางagency ได้นำใบcertificateและอาหารกล่องมาให้เรา  เผื่อใครหิวจะได้ทานในรถ  ไม่เห็นมีใครจะเปิดกล่องอาหารเกือบทุกคนเลือกเอาการพักผ่อนและหลับ  ภาพภูเขาคินาบาลู ก็ค่อยๆเลือนลางไประหว่างที่เดินทางออกมาแต่ภาพจำในใจสำหรับการเดินทางครั้งนี้ กลับแจ่มชัดขึ้น... complete mission ...คืนาบาลู
            
     เรามาถึงที่พักในเมืองโกตาคินาบาลู และjoin group กับเพื่อนอีก 2 คนก็เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว  ตอนอยู่เชิงเขาก็ยังพอติดต่อกันได้บ้างแบบกระท่อนกระแท่นแต่พอขึ้นเลยshelterที่ 3 ก็ติดต่อกันไม่ได้เลยเนื่องจากไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ได้รู้ว่าเพื่อนทั้ง 2 คนที่วันนี้ได้ไปเที่ยวบริเวณอุทยานด้านล่างไปก็สนุกกันดี  เราตัดสินใจกินอาหารเย็นกันที่ภัตตาคารจีนใกล้ๆที่พัก การสนทนาเพื่อสั่งอาหารก็ทำให้สนุกสนานกันพอสมควร ทั้งภาษามือทั้ง google ก็เหนื่อย แต่เราก็กินอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อยไม่เหลือให้เจ้าของร้านเห็นร่องรอยสักอย่าง 
     เรากลับเข้าที่พักและเตรียมตัวแพ็คของสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้นซึ่งเราจะเป็นการเดินทางกลับ โดยไปtransit ที่กัวลาลัมเปอร์ต่อเนื่องกลับไปหาดใหญ่  ผมเตรียมจะหลับให้เต็มที่ในเที่ยวบินจากคินาบาลูไปKL เต่แอร์เอเชีย random ที่นั่งให้ไปนั่งกับผู้โดยสารชาวคินาบาลูที่มีประสบการณ์ขึ้นเขาคินาบาลูมาแล้ว 5 ครั้ง ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง และที่สำคัญคือเคยไปร่วมกิจกรรม Hokaido 100 KM walk มาแล้วก็เลยคุยกันถูกคอโดยไม่ง่วงเลย
          ผมอำลาคินาบาลู  โดยสามารถเอาออกจาก bucket list วัยเกษียณของผมได้ ...แต่หลังจากการคุยกับเพื่อนที่นั่งflightบินมาด้วยกันทำให้ผมต้องแอบเพิ่มHokaido 100 KM walk เข้าไปแทน...ยังมีเรื่องต้องทำอีกจนได้...อิอิ

 

Comments